บล็อกเชน คือ อะไร นำไปใช้ประโยชน์จริงได้มากแค่ไหน พร้อมทั้งข้อดีข้อเสีย

บล็อกเชน คือ

บล็อกเชน คือ ระบบบัญชีแยกประเภทแบบกระจายศูนย์ ที่มีลำดับของบล็อกหรือหน่วยข้อมูลดิจิทัลที่จัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลสาธารณะอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานสำหรับสกุลเงินดิจิทัลทุกชนิด เทคโนโลยีบล็อกเชนนั้นได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำมาใช้เพื่อปฏิวัติวงการการเงินของโลก ที่ช่วยตัดคนกลางออกไปจากระบบ ช่วยลดค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม และประหยัดเวลาในการโอนเงินข้ามประเทศได้เป็นอย่างมาก

Crypto Summer อัพเดทสาระดีๆ ในแวดวงคริปโต Web3 , NFT , Metaverse

เทคโนโลยี บล็อกเชน คือ อะไร

บล็อกเชน ประกอบด้วยชุดของบล็อกหลายๆ อัน ซึ่งแต่ละบล็อกจะมีข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมที่ดำเนินการภายในระยะเวลาที่กำหนด และบล็อกเหล่านี้ยังมีตัวระบุที่ไม่ซ้ำกันเพื่อแยกความแตกต่างจากบล็อกอื่น ๆ ในห่วงโซ่ บล็อกถูกสร้างขึ้นโดยการแก้ปัญหาการเข้ารหัส กระบวนการแก้ปัญหาเหล่านี้เรียกว่าการ Mining หรือ “การขุด” นั่นเอง การขุดบล็อกบนบล็อคเชนนั้นจะถูกดึงดูดด้วยการให้รางวัลเป็นเหรียญนั้นๆ ตัวอย่างเช่น ในช่วงเริ่มต้นของ Bitcoin blockchain นักขุดที่แก้ปัญหาการเข้ารหัสลับที่จำเป็นในการเพิ่มบล็อกใหม่ให้กับ blockchain จะได้รับรางวัลเป็นจำนวน 50 BTC บล็อกเชนนั้นเป็นบันทึกแบบ Decentralized หรือแบบ กระจายอำนาจ แทนที่จะเป็นแบบเก็บไว้ในที่เดียว ตัวบล็อกเชนจะถูกเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ทุกรายของบล็อกเชนที่กำหนด

ในขณะเดียวกัน ตัวที่ใช้ระบุบล็อกแต่ละตัว — ที่เรียกกันว่า Hash — ได้มาจากข้อมูลที่มีอยู่ในทุกบล็อกก่อนหน้าในบล็อกเชน ซึ่งหมายความว่า ในการปลอมแปลงบันทึกใดๆ บนบล็อกเชน ผู้ร้ายจะต้องทำการเปลี่ยนแปลงข้อมูลทุกบล็อกที่อยู่บนห่วงโซ่บล็อกเชน ด้วยเหตุนี้ บล็อกเชนจึงถูกพิจารณาว่าไม่สามารถปลอมแปลงได้อย่างแท้จริง และถูกมองว่าเป็นบันทึกธุรกรรมที่ไม่สามารถเปลี่ยนรูปได้ ในปัจจุบัน บล็อกเชนส่วนใหญ่จะเป็นแบบสาธารณะ ซึ่งรวมถึงสกุลเงินดิจิทัล ที่โดดเด่นเช่น Bitcoin และ Ethereum ซึ่งทุกคนสามารถดูบันทึกการทำธุรกรรมที่ดำเนินการบนบล็อกเชนที่กำหนดได้ โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า block explorer อย่างไรก็ตาม ในทางทฤษฎีแล้วบล็อกเชนนั้นไม่ทำให้ข้อมูลของผู้ใช้งานถูกเปิดเผยตัวตนในระดับสูง

แม้ว่าบล็อกเชนสาธารณะจะเป็นบรรทัดฐาน แต่ก็มีการสำรวจว่าการใช้งานแบบเวอร์ชั่นส่วนตัวว่าเป็นวิธีการแก้ไขในกรณีการใช้งานทางธุรกิจและภาครัฐจำนวนมาก

บล็อกเชนมีวิธีการทํางานอย่างไร อธิบายพอสังเขป

  1. มีคำขอธุรกรรม (transaction) เกิดขึ้น
  2. ธุรกรรมนั้นได้ถูกนำไปประกาศบนเครือข่าย (P2P) ที่ประกอบไปด้วยคอมพิวเตอร์จำนวนมาก (เรียกอีกอย่างว่า Nodes)
  3. เครือข่ายการใช้งาน Nodes เรียนรู้ตัวอัลกอริธึม เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมและสถานะของผู้ใช้งาน
  4. การยืนยันธุรกรรมนั้นสามารถเกี่ยวข้องกับเรื่องของ Cryptocurrency, สัญญาต่างๆ และการบันทึกข้อมูล
  5. ตัวธุรกรรมนั้นๆ จะประกอบด้วยธุรกรรมอื่นๆ อีกหลายอัน เมื่อตัวธุรกรรมที่สร้างใหม่ได้รับการยืนยันเรียบร้อยแล้ว มันก็จะสร้างบล็อกใหม่เพื่อแยกข้อมูลขึ้นมาด้วย
  6. บล็อกใหม่ได้ถูกสร้างขึ้นบนฐานบล็อกเชนอันที่มีอยู่ (ซึ่งไม่สามารถทำการแก้ไขได้อย่างถาวร)
  7. ธุรกรรมนั้นๆ เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

การนำ เทคโนโลยีบล็อกเชน ไปใช้จริง

  1. คริปโตเคอร์เร็นซี่
  2. ธุรกิจธนาคาร
  3. ธุรกิจเกม
  4. ธุรกิจประกันภัย
  5. ธุรกิจทนายความ
  6. ธุรกิจการท่องเที่ยว
  7. ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพ
  8. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
  9. ธุรกิจพลังงาน
  10. ธุรกิจเกี่ยวกับลิขสิทธิ์
  11. ธุรกิจสื่อดิจิทัล
  12. ธุรกิจงานศิลปะ
  13. ธุรกิจเพลง
  14. ธุรกิจกีฬา
  15. ธุรกิจการขนส่ง
  16. ธุรกิจการดูแลความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์
  17. ธุรกิจอินเตอร์เน็ตของสรรพสิ่ง Internet of Things
  18. ธุรกิจการเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัว ใช้โดยภาครัฐ
  19. การลงคะแนนเสียง

สามารถดูรายละเอียด เพิ่มเติมที่นี่ค่ะ

บล็อกเชน ข้อดี ข้อเสีย

ข้อดี

  1. ไม่มีตัวกลาง : ช่วยภาระค่าธรรมเนียมได้หลายต่อ
  2. ข้อมูลคุณภาพสูง : ด้วยรูปแบบของเทคโนโลยีที่มีการตวจสอบข้อมูลให้มีความถูกต้องก่อนที่จะถูกบันทึกลงบล็อก จึงทำให้ข้อมูลมีคุณภาพสูงตามไปด้วย
  3. ความทนทานและความปลอดภัย : โครงสร้างของระบบถูกออกแบบมาให้มีความทนทาน และยังมีการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลไม่ให้ถูกแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงโดยง่ายด้วย
  4. มีความเป็นธรรม : กระบวนการจัดเก็บข้อมูลนั้นมีความแข็งแกร่งมาก และไม่สามารถแก้ไขหรือปลอมแปลงได้
  5. โปร่งใส ตรวจสอบได้ : บนบล็อกเชนแต่ละบล็อกจะมีค่า Hash ID ระบุตัวตนเอาไว้ หากมีการแก้ไขเกิดขึ้น ผู้ใช้งานคนอื่นๆ ก็จะได้รับแจ้งในทันทีเช่นกัน
  6. มีอายุยืนและมีความน่าเชื่อถือ : ฐานข้อมูลบนบล็อกเชนจะถูกบันทึกและเก็บรักษาไว้ตราบนานเท่านาน จึงทำให้มีหลายบริษัทที่อยากจะนำข้อดีตรงนี้มาใช้งานกับบริษัทด้วย
  7. มีระบบนิเวศที่ใช้งานง่าย : ความไว้ใจคือระบบนิเวศที่เข้าใจง่ายที่สุดในโลกแห่งความจริง ดังนั้นสิ่งที่บล็อกเชนทำคือ การลดขั้นตอนการประมวลผลให้เหลือเพียงไม่กี่ขั้นตอน และอยู่ในรูปแบบออนไลน์จึงทำให้ดูแลรักษาง่าย และยังมีการสร้างแอพที่เป็นมิตรกับผู้ใช้งานขึ้นมาให้ใช้อีกด้วย
  8. ทำให้ผู้ใช้งานมีอำนาจมากขึ้น : บล็อกเชนให้การรับรองว่าเครือข่ายแบบ peer-to-peer นั้นได้ส่งมอบการควบคุมข้อมูลกลับไปให้ผู้ใช้งานอีกครั้ง
  9. การทำธุรกรรมได้อย่างรวดเร็ว : การทำธุรกรรมทางการเงินข้ามประเทศแบบเดิมๆ อาจใช้เวลานานถึง 6 วัน แต่ด้วยบล็อกเชนจะทำให้การทำธุรกรรมใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น
  10. ค่าธรรมเนียมการโอนถูก : มีเทคโนโลยีบล็อกเชนใหม่ๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาให้มีความรวดเร็วในการทำธุรกรรมและมีค่าธรรมเนียมถูกมากๆ อย่างเช่น Solana
  11. มีโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้น : ไม่ว่าจะเป็น DeFi , NFT แลอีกมากมาย นอกจากนี้เรายังสามารถเสริมเรื่องการใช้บล็อกเชนกับธุรกิจของเราเพื่อเกาะกระแสได้อีกด้วย
  12. การตรวจสอบย้อนหลังที่ได้รับการพัฒนา : ในบริษัทที่ต้องมีการจัดการเรื่องห่วงโซ่อุปทานยากๆ หรือธุรกิจใกล้เคียง การนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในการตรวจสอบย้อนหลังก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก

ข้อเสีย

  1. มีการทำงานที่ซ้ำซ้อน : ทุกครั้งที่ Ledger มีการอัพเดท Nodes ทุกตัวก็ต้องมีการอัพเดทตามไปด้วยทุกครั้งเช่นกัน
  2. กระบวนการตรวจสอบลายเซนต์ที่ซับซ้อน
  3. Private Key : ในการทำธุรกรรมจำเป็นต้องมีการใช้ Private Key หรือรหัสส่วนตัว ซึ่งคุณจะต้องเก็บข้อมูลนี้ไว้เป็นความลับ ห้ามให้คนอื่นรู้เด็ดขาด
  4. ขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญการใช้งานภายในองค์กร : ส่วนใหญ่แล้วการนำบล็อกเชนไปใช้ในธุรกิจของตัวเองจะมีปัญหา เพราะมีความยากในการหาคนที่มีความสามารถมาคุมโปรเจ็กต์
  5. ความกังวลในการทำงานร่วมกัน : การนำเครือข่ายเดิมมาทำงานร่วมกับบล็อกเชนนั้น ยังไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  6. มีกฏระเบียบที่ไม่แน่นอน : ไม่ใช่ทุกเทคโนโลยีบล็อกเชนจะได้รับการอนุญาติให้ทำอย่างถูกกฏหมาย ซึ่งทำให้เกิดความไม่ไว้ใจในตัวระบบไปเลย
  7. ใช้พลังงานเป็นจำนวนมาก : การยืนยันธุรกรรมว่ามีความถูกต้องนั้น จะต้องได้รับการตรวจสอบไปมาหลายครั้ง จึงจำเป็นต้องใช้พลังงานอย่างมาก
  8. ไม่มีการควบคุมสำหรับองค์กร : องค์กรจำเป็นต้องมีกระบวนการที่เชื่อถือได้เพื่อที่จะใช้เทคโนโลยีบล็อคเชน บล็อกเชนสาธารณะส่วนใหญ่ไม่เอื้อกับรูปแบบนี้ แต่ข่าวดีคือ มีการสร้างบล็อกเชนแบบส่วนตัวขึ้นมาเพื่อเอาไว้ใช้กับองค์กรโดยเฉพาะด้วย
  9. ความกังวลในเรื่องความเป็นส่วนตัว : องค์กรต้องการความเป็นส่วนตัวเพื่อรักษาคุณค่าของแบรนด์ จึงไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดกับสาธารณะชนได้
  10. ทำให้เกิดการปฏิวัติทางด้านวัฒนธรรม และการนำไปใช้จริง :
  11. ต้นทุนสูง : การพัฒนาตัวระบบบล็อกเชนขึ้นมาเองจากศูนย์อาจต้องใช้เงินจำนวนเยอะมากๆ

บทส่งท้าย

เทคโนโลยีบล็อกเชนนั้น ก่อให้เกิดนวัตกรรมต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะการนำมาแก้ไขปัญหาเรื่องของเศรษฐกิจและการเงินต่างๆ ทั่วโลก และยังสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางธุกิจขึ้นมาอีกด้วย อย่างเช่น การ DeFi การทำ NFT การทำ Payment , Wallet , การนำไปใช้กับธุรกิจเกม การทำกระดานเทรด การทำธุรกิจรูปแบบของธนาคาร เป็นต้น ซึ่งเราสามารถทำธุรกรรมผ่านทางแพลตฟอร์มเหล่านั้นโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น นับเป็นการปฏิวัติเครือข่ายการเงินที่สำคัญครั้งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว ศึกษา คริปโต เล่นยังไง เพิ่มเติม

ที่มาเนื้อหา

บทความเพิ่มเติม