หลักการ เทรดคริปโต มือใหม่ เหมาะสำหรับคนที่เพิ่งเข้าวงการอยากรู้วิธีเทรดคริปโต ในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปเรียนรู้ขั้นตอนการเทรดตั้งแต่คำศัพท์เบื้องต้นที่ชาวเทรดเดอร์จำเป็นต้องรู้ เพราะการลงทุนในแต่ละครั้งมีความเสี่ยง การศึกษาข้อมูลก่อนการดำเนินการจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นและเป็นหัวใจหลักที่ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือเซียนก็ยังคงต้องหมั่นเติมความรู้กันอยู่อย่างสม่ำเสมอ และในภาวะที่สภาพตลาดผันผวนเช่นนี้ การศึกษาข้อมูลตลอดจนกลวิธีในการเทรดให้เข้าใจอาจช่วยให้เราพอทำกำไรได้บ้างไม่ว่าจะเป็นตลาดขาขึ้นหรือขาลงก็ตาม สมัครไบแนนซ์ลงทุนคริปโตคลิก
อัพเดทสาระดีๆ ในแวดวงคริปโตเคอร์เรนซี Web3 , NFT , Metaverse ไปด้วยกันกับเรา Crypto Summer
- หลักการ เทรดคริปโต มือใหม่ เข้าใจง่าย
- การเทรดคืออะไร
- การลงทุนคืออะไร
- การเทรด กับ การลงทุน แตกต่างกันอย่างไร
- การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis (FA)) คืออะไร
- การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis (TA)) คืออะไร
- การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน กับ การวิเคราะห์ทางเทคนิค – แบบไหนดีกว่ากัน
- อะไรเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดการเงิน
- แนวโน้มของตลาด (Market Trend) คืออะไร?
- Bitcoin อยู่ในตลาดกระทิงตลอดการดำรงอยู่ของมัน
- วัฏจักรของตลาด (Market Cycle) คืออะไร?
- สรุปคู่มือการ เทรดคริปโต มือใหม่
หลักการ เทรดคริปโต มือใหม่ เข้าใจง่าย
สำหรับคนที่เคยเทรดกับตลาดอื่นๆ มาบ้างน่าจะพอเข้าใจหลักการ แต่ถ้าคุณเพิ่งมาเริ่มต้นรู้จักการเทรดในตลาดโดยใช้คริปโตเป็นที่แรกแล้วล่ะก็ ความรู้จากที่นี่เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณควรเข้ามาศึกษา เพื่อให้เข้าใจหลักการต่างๆ และสภาวะของตลาดจะไม่ตื่นเต้นหรือตื่นตระหนกไปกับความผันผวนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับโลกคริปโตได้
การเทรดคืออะไร
การเทรด (หรือการซื้อขาย) เป็นแนวคิดพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อและขายสินทรัพย์ สิ่งเหล่านี้อาจเป็นสินค้าและบริการก็ได้ โดยผู้ซื้อจะเป็นผู้จ่ายค่าตอบแทนให้กับผู้ขาย ในกรณีอื่น ๆ การทำธุรกรรมอาจเกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างฝ่ายคู่ค้า
ในบริบทของตลาดการเงิน เราจะเรียกสินทรัพย์ที่มีการซื้อขายกันนั้นว่า “เครื่องมือทางการเงิน (Financial Instruments)” สิ่งเหล่านี้อาจเป็นได้ทั้ง หุ้น พันธบัตร การจับคู่สกุลเงินในตลาด Forex สัญญาสิทธิ (Options) สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) สกุลเงินดิจิทัล และอื่น ๆ อีกมากมาย
ทั้งนี้ คำว่าเทรดดิ้งมักใช้เพื่ออ้างถึงการซื้อขายระยะสั้น ซึ่งนักเทรดจะเข้าซื้อและขายสินทรัพย์ออกภายในกรอบเวลาที่ค่อนข้างสั้น อย่างไรก็ตาม นี่อาจเป็นข้อสันนิษฐานที่ผิดเพี้ยนไปซักเล็กน้อย อันที่จริงแล้ว การเทรดอาจหมายถึงกลยุทธ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เดย์เทรด สวิงเทรด เทรนด์เทรด และอื่นๆ อีกมากมาย
การลงทุนคืออะไร
การลงทุนคือการจัดสรรทรัพยากร (เช่น ทุน) ด้วยความคาดหวังที่จะสร้างผลกำไร ซึ่งอาจรวมถึงการใช้เงินเพื่อเป็นทุนและเริ่มต้นธุรกิจหรือซื้อที่ดินโดยมีเป้าหมายเพื่อขายต่อในราคาที่สูงขึ้นในภายหลัง ในตลาดการเงิน การลงทุนโดยทั่วไปจะหมายถึง การลงทุนในเครื่องมือทางการเงินโดยมีเป้าหมายว่าจะขายออกในภายหลังในราคาที่สูงกว่าปัจจุบัน
ความคาดหวังในผลตอบแทนจึงถือเป็นหัวใจสำคัญของการลงทุน (หรือที่เรารู้จักกันดีก็คือ ROI) ตรงกันข้ามกับการซื้อขาย การลงทุนมักใช้วิธีการระยะยาวในการสะสมความมั่งคั่ง เป้าหมายของนักลงทุนคือการสร้างความมั่งคั่งโดยใช้ระยะเวลาอันยาวนาน (อาจจะเป็นปีหรือหลายทศวรรษ) จริงๆ แล้วมีหลายวิธีในการทำเช่นนั้น แต่โดยทั่วไปแล้วนักลงทุนจะใช้ปัจจัยพื้นฐานเพื่อค้นหาโอกาสที่ดีในการลงทุน
เนื่องจากแนวทางของพวกเขาเป็นลักษณะการลงทุนในระยะยาว นักลงทุนมักจะไม่กังวลกับความผันผวนของราคาในระยะสั้น ด้วยเหตุนี้ พวกเขามักจะไม่ค่อยสนใจหรือกังวลมากเกินไปเกี่ยวกับการสูญเสียในระยะสั้น อ่านเพิ่มเติม การลงทุนแบบ DCA Bitcoin
การเทรด กับ การลงทุน แตกต่างกันอย่างไร
ทั้งเทรดเดอร์และนักลงทุนต่างก็พยายามที่จะสร้างผลกำไรในตลาดการเงิน อย่างไรก็ตามวิธีการที่พวกเขาใช้เพื่อทำให้บรรลุเป้าหมายนี้แตกต่างกันค่อนข้างมากทีเดียว
โดยทั่วไปแล้ว นักลงทุนจะพยายามสร้างผลตอบแทนในระยะเวลาที่ยาวนาน อาจจะเป็นเวลาหลายปีหรือหลายทศวรรษ เนื่องจากนักลงทุนมีกรอบระยะเวลาที่กว้างกว่า ผลตอบที่พวกเขาตั้งเป้าหมายเอาไว้สำหรับการลงทุนแต่ละครั้งจึงมีแนวโน้มที่จะมากขึ้นตามไปด้วย
ในทางกลับกัน เทรดเดอร์จะพยายามใช้ประโยชน์จากความผันผวนของตลาด พวกเขาเข้าซื้อและขายสินทรัพย์ออกบ่อยขึ้น และอาจแสวงหาผลตอบแทนที่น้อยลงในแต่ละการเทรด (เนื่องจากพวกเขามักจะเทรดพร้อมกันหลายคำสั่ง)
หากถามว่าแบบไหนดีกว่ากัน? หรือแบบไหนที่เหมาะกับคุณมากกว่ากัน? นี่เป็นคำถามที่คุณต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง คุณสามารถเริ่มหาความรู้เกี่ยวกับตลาดได้ด้วยตัวเอง จากนั้นจึงเรียนรู้ด้วยการลงมือทำ เมื่อเวลาผ่านไป คุณจะสามารถตัดสินใจได้ว่าแบบใดเหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงิน นิสัยส่วนตัว และโปรไฟล์การเทรดของคุณมากกว่ากัน
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis (FA)) คืออะไร
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเป็นวิธีการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงิน นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจะศึกษาทั้งปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเงินเพื่อพิจารณาว่ามูลค่าของสินทรัพย์นั้นถูกต้องหรือไม่ ปัจจัยพื้นฐานอาจรวมถึงสถานการณ์ของเศรษฐกิจมหภาค เช่น สถานะของเศรษฐกิจในวงกว้าง สภาวะอุตสาหกรรม หรือธุรกิจที่เชื่อมโยงกับสินทรัพย์ (หากมี) และสิ่งเหล่านี้มักถูกติดตามผ่านตัวชี้วัดชั้นนำและล้าหลังของเศรษฐศาสตร์มหภาค
เมื่อการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเสร็จสิ้น นักวิเคราะห์จะพิจารณาว่าสินทรัพย์นั้นมีราคาต่ำเกินไปหรือมีราคาสูงเกินไป ซึ่งนักลงทุนสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการตัดสินใจลงทุนได้
ในกรณีของสกุลเงินดิจิทัล จะมีการนำข้อมูลทางวิทยาศาตร์เข้ามาช่วยวิเคราะห์ โดยอาจเป็นข้อมูลบล็อคเชนสาธารณะที่เรียกว่าเมตริกบนเครือข่าย (on-chain metrics) โดยตัวชี้วัดเหล่านี้อาจรวมถึง หน่วยวัดกำลังในการขุดต่อวินาทีของเครือข่าย (hash rate) ผู้ถือสินทรัพย์สูงสุด จำนวนที่อยู่ การวิเคราะห์ธุรกรรม และอื่นๆ ด้วยการใช้ข้อมูลที่มีอยู่มากมายบนบล็อคเชนสาธารณะ นักวิเคราะห์สามารถสร้างตัวชี้วัดทางเทคนิคที่ซับซ้อน ซึ่งสามารถชี้วัดลักษณะบางอย่างของสถานะโดยรวมของเครือข่ายได้
>> อ่านเพิ่มเติม เครื่องมือวิเคราะห์คริปโตที่จำเป็น ช่วยเพอ่มประสิทธิภาพให้พอร์ทการลงทุน
แม้ว่าการวิเคราะห์พื้นฐานจะใช้กันอย่างแพร่หลายในตลาดหุ้นหรือ Forex แต่ก็ไม่เหมาะกับสถานะปัจจุบันของสกุลเงินดิจิทัล เพราะสินทรัพย์ประเภทนี้เป็นสินทรัพย์ที่ใหม่มากจนไม่มีกรอบมาตรฐานที่ครอบคลุมสำหรับการกำหนดมูลค่าตลาด ยิ่งไปกว่านั้น ตลาดส่วนใหญ่ขับเคลื่อนด้วยการเก็งกำไรและคำบอกเล่า ด้วยเหตุนี้ ปัจจัยพื้นฐานมักจะมีผลกระทบเล็กน้อยต่อราคาของสกุลเงินดิจิทัล อย่างไรก็ตาม วิธีประเมินที่แม่นยำมากขึ้นเกี่ยวกับการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ดิจิทัลอาจมีการพัฒนาได้มากขึ้นเมื่อตลาดเติบโตเต็มที่
การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis (TA)) คืออะไร
นักวิเคราะห์ทางเทคนิคทำงานด้วยแนวทางที่ต่างออกไป แนวคิดหลักที่อยู่เบื้องหลังการวิเคราะห์ทางเทคนิค คือ การเคลื่อนไหวของราคาในอดีตที่อาจบ่งชี้ได้ว่าตลาดมีแนวโน้มที่จะเป็นอย่างไรในอนาคต
นักวิเคราะห์ทางเทคนิคจะไม่พยายามค้นหามูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์ แต่พวกเขาจะดูที่กิจกรรมการซื้อขายในอดีตและพยายามทำนายโอกาสในการทำกำไรจากข้อมูลนั้น ซึ่งอาจรวมถึงการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณการซื้อขาย รูปแบบกราฟ การใช้ตัวบ่งชี้ทางเทคนิค และเครื่องมือสร้างกราฟอื่นๆ อีกมากมาย เป้าหมายของการวิเคราะห์นี้คือการประเมินจุดแข็งหรือจุดอ่อนของตลาดที่กำหนด
จากที่กล่าวมา การวิเคราะห์ทางเทคนิคไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือในการทำนายความน่าจะเป็นของการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตเท่านั้น แต่ยังสามารถนำมาใช้เป็นกรอบสำหรับการบริหารความเสี่ยงที่มีประโยชน์ได้อีกด้วย เนื่องจากการวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นการจำลองการวิเคราะห์โครงสร้างตลาด จึงทำให้การจัดการการซื้อขายมีความชัดเจนและวัดผลได้มากขึ้น ในบริบทนี้ การประเมินความเสี่ยงเป็นขั้นตอนแรกที่ต้องจัดการ นี่คือเหตุผลที่นักวิเคราะห์ทางเทคนิคบางคนอาจไม่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นเทรดเดอร์อย่างจริงจัง เพราะพวกเขาอาจใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นเพียงกรอบในการบริหารความเสี่ยงเท่านั้น
การวิเคราะห์ทางเทคนิคสามารถนำมาปรับใช้กับตลาดการเงินใดก็ได้ และมันถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในหมู่นักเทรดสกุลเงินดิจิทัล แต่การวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้นได้ผลหรือไม่? ดังที่เราได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ การประเมินมูลค่าของตลาดสกุลเงินดิจิทัลนั้นขับเคลื่อนโดยการเก็งกำไรเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้การประเมินมูลค่าของตลาดสกุลเงินดิจิทัลเป็นสนามแข่งขันในอุดมคติสำหรับนักวิเคราะห์ทางเทคนิค เนื่องจากพวกเขาสามารถเติบโตได้โดยพิจารณาจากปัจจัยทางเทคนิคเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน กับ การวิเคราะห์ทางเทคนิค – แบบไหนดีกว่ากัน
ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การซื้อขายของคุณ แล้วทำไมถึงไม่ใช้ทั้งสองวิธีหละ? วิธีการวิเคราะห์ตลาดส่วนใหญ่จะให้ผลลัพธ์ได้ดีที่สุดเมื่อใช้ร่วมกับวิธีการหรือตัวชี้วัดอื่นๆ วิธีนี้ทำให้มีโอกาสมากขึ้นในการหาโอกาสการลงทุนที่มีความน่าเชื่อถือ การผสมผสานกลยุทธ์การซื้อขายที่แตกต่างกันสามารถช่วยขจัดอคติออกจากกระบวนการตัดสินใจของคุณได้
แนวคิดนี้บางครั้งก็ถูกเรียกว่า Confluence (การที่เครื่องมือทางเทคนิคหลายตัว ให้สัญญาณการเทรดแบบเดียวกัน) นักเทรดที่นิยมใช้เทคนิคแบบ confluence จะรวมกลยุทธ์ต่างๆ เข้าด้วยกันเป็นกลยุทธ์เดียวแต่ใช้ประโยชน์จากกลยุทธ์เหล่านั้นทั้งหมด ดังนั้น โอกาสในการซื้อขายที่นำเสนอโดยกลยุทธ์แบบรวมอาจแข็งแกร่งกว่าโอกาสที่มีให้โดยกลยุทธ์เดียว
อะไรเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดการเงิน
ราคาของสินทรัพย์ถูกกำหนดโดยความสมดุลของอุปสงค์และอุปทาน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือการตัดสินใจของผู้ซื้อและผู้ขาย หากอุปทานตรงกับความต้องการ ก็จะเกิดตลาดการซื้อขายขึ้น แต่อะไรที่สามารถขับเคลื่อนมูลค่าของสินทรัพย์ทางการเงินได้
ดังที่เราได้กล่าวไปแล้วข้างต้น อาจมีปัจจัยพื้นฐาน เช่น สถานะของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ อาจมีปัจจัยทางเทคนิค เช่น มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของสกุลเงินดิจิทัล นอกจากนี้ อาจมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องพิจารณา เช่น ความเชื่อมั่นของตลาดหรือข่าวล่าสุด
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงปัจจัยที่ควรพิจารณา สิ่งที่กำหนดราคาของสินทรัพย์ในช่วงเวลาที่กำหนดจริงๆ ก็คือความสมดุลของอุปสงค์และอุปทาน
แนวโน้มของตลาด (Market Trend) คืออะไร?
แนวโน้มของตลาดคือทิศทางโดยรวมที่ราคาของสินทรัพย์กำลังดำเนินไป ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยทั่วไปแล้ว แนวโน้มของตลาดจะถูกระบุโดยใช้การเคลื่อนไหวของราคา เส้นแนวโน้ม หรือแม้แต่ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่สำคัญ
โดยทั่วไป แนวโน้มของตลาดมีอยู่สองประเภท ได้แก่ ตลาดกระทิงและตลาดหมี ตลาดกระทิงเป็นตลาดขาขึ้นซึ่งราคาสินทรัพย์จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนตลาดหมีคือตลาดขาลง ซึ่งราคาสินทรัพย์จะลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ เราจะเรียกตลาดที่มีการรวมฐานว่า “ไซด์เวย์” ซึ่งหมายถึงตลาดที่ไม่มีแนวโน้มทิศทางที่ชัดเจน
Bitcoin อยู่ในตลาดกระทิงตลอดการดำรงอยู่ของมัน
เป็นที่น่าสังเกตว่าแนวโน้มของตลาดไม่ได้หมายความว่าราคาจะไปในทิศทางของแนวโน้มเสมอไป ตลาดกระทิง (Bullish) ที่ยืดเยื้อก็มักจะประกอบด้วยตลาดหมี (Bearish) เล็ก ๆ อยู่ด้วย และในขณะที่ตลาดมีแน้วโน้มขาลงเป็นตลาดหมี ก็จะมีตลาดกระทิงประกอบอยู่เป็นส่วนเล็ก ๆ ด้วยเช่นเดียวกัน นี่เป็นเพียงธรรมชาติของแนวโน้มของตลาด และเป็นเรื่องของมุมมอง เพราะทั้งหมดขึ้นอยู่กับกรอบเวลาที่คุณกำลังดู แนวโน้มของตลาดในกรอบเวลาที่ยาวนานกว่าจะมีความสำคัญมากกว่าแนวโน้มของตลาดในกรอบเวลาที่ต่ำกว่าเสมอ
สิ่งที่แปลกประหลาดเกี่ยวกับแนวโน้มของตลาด คือ มันสามารถกำหนดได้ด้วยอย่างแม่นยำผ่านการมองย้อนกลับไปเท่านั้น คุณอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องอคติแห่งการมองย้อนหลัง (hindsight bias) ซึ่งหมายถึงแนวโน้มที่ผู้คนจะโน้มน้าวตนเองว่าพวกเขาทำนายเหตุการณ์ก่อนที่มันจะเกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ ลองคิดตามดูว่า อคติแห่งการมองย้อนหลัง อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกระบวนการระบุแนวโน้มของตลาดและการตัดสินใจซื้อขาย
>> คำศัพท์คริปโตควรรู้ อัพเดทล่าสุด
วัฏจักรของตลาด (Market Cycle) คืออะไร?
คุณอาจเคยได้ยินวลีที่ว่า “ตลาดเคลื่อนไหวเป็นวัฏจักร” วัฏจักรคือรูปแบบหรือแนวโน้มที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา โดยปกติแล้ว วัฏจักรของตลาดในกรอบเวลาที่สินทรัพย์มีมูลค่าสูงกว่าจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าวัฏจักรของตลาดในกรอบเวลาที่สินทรัพย์มีมูลค่าต่ำกว่า ไม่ต้องแปลกใจ หากคุณจะเจอกับวัฏจักรตลาดขนาดเล็กในแผนภูมิรายชั่วโมงได้ เช่นเดียวกับข้อมูลการซื้อขายเมื่อหลายทศวรรษก่อน
ตลาดมีลักษณะเป็นวัฏจักร วัฏจักรอาจส่งผลให้สินทรัพย์บางประเภทมีประสิทธิภาพดีกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น ในส่วนอื่นๆ ของวัฏจักรตลาดเดียวกัน สินทรัพย์ประเภทเดียวกันอาจมีประสิทธิภาพต่ำกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ เนื่องจากสภาวะตลาดที่แตกต่างกัน
เป็นที่น่าสังเกตว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะตัดสินว่าเรากำลังอยู่ ณ จุดใดในวัฏจักรของตลาด การวิเคราะห์นี้สามารถทำได้ด้วยความแม่นยำสูงเฉพาะเมื่อส่วนนั้นของวงจรได้ข้อสรุปแล้วเท่านั้น เพราะวัฏจักรของตลาดนั้นไม่ค่อยมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดที่ชัดเจน อย่างไรก็ดี ไม่ว่าคุณจะหมายถึงตลาดใดก็ตาม ตลาดทุกตลาดล้วนผ่านขั้นตอนเดียวกันและเป็นวัฏจักร คือ พวกมันพุ่งขึ้น สูงสุด ดิ่งลง และถึงจุดต่ำสุด เมื่อวัฏจักรของตลาดหนึ่งสิ้นสุดลง วัฏจักรของตลาดถัดไปจะเริ่มขึ้น
สรุปคู่มือการ เทรดคริปโต มือใหม่
นี่เป็นเพียงแค่ข้อมูลวิธีเทรดคริปโตสำหรับมือใหม่ฉบับเบื้องต้นเท่านั้น หากคุณอยากสร้างกำไรจากการเทรดคริปโต การเรียนรู้กลยุทธ์ตลอดจนศึกษาคำศัพท์ที่ใช้ในการเทรดจะทำให้คุณมองภาพสถานการณ์ตลาดในปัจจุบันได้ชัดเจนขึ้นและสามารถนำเทคนิคต่างๆมาปรับใช้เพื่อลดความเสี่ยงและอาจทำกำไรได้จากการเทรดในระยะสั้นในภาวะตลาดขาลงเช่นนี้ แม้ว่าการลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่ถ้าเรามีความรู้มากเพียงพอการลองเสี่ยงก็น่าจะก่อให้เกิดประสบการณ์ที่ดีไม่มากก็น้อย เพราะการลงทุนนั้นเกิดจากการลงมือทำไม่ใช่เพียงแค่การศึกษาเพื่อหาความรู้เพียงอย่างเดียว จริงไหม?
ที่มา : https://academy.binance.com/