Avalanche คือ อะไร มีนวัตกรรมที่แตกต่างจากสกุลเงินดิจิตัลอื่นๆ อย่างไรบ้าง

Avalanche คือ

Avalanche คือ เป็นแพลตฟอร์มที่ทำหน้าที่เป็นจุดนัดพบระหว่างตลาดคริปโตแบบดั้งเดิมและ dApps หรือแอปพลิเคชันแบบกระจายอำนาจ และยังเป็น  Decentralized Finance (DeFi) ที่ช่วยให้สามารถทำงานร่วมกันระหว่างโทเคนของบุคคลที่สามกับบล็อคเชนอื่นๆ ด้วยการใช้นวัตกรรมบล็อกเชนของ Avalanche ที่ทำให้สามารถประมวลผลธุรกรรมได้รวดเร็วถึง 4,500 ธุรกรรมต่อวินาที อยากซื้อเหรียญ Avalanche (AVAX) ที่ Bitkub คลิก

Crypto Summer อัพเดทสาระดีๆ ในแวดวงคริปโต Web3 , NFT , Metaverse

Avalanche คือ อะไร

Avalanche (AVAX) เป็นบล็อกเชน Layer 1 ที่ทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มสำหรับแอปพลิเคชันที่กระจายอำนาจและเครือข่ายบล็อกเชนที่กำหนดเอง เป็นหนึ่งในคู่แข่งของ Ethereum โดยมีเป้าหมายเพื่อแย่งชิงตำแหน่งบล็อคเชนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดที่ใช้รูปแบบ smart contracts หรือสัญญาอัจฉริยะ โดยตั้งว่าเป้าว่าจะให้มีการประมวลผลลัพธ์ธุรกรรมที่สูงขึ้นถึง 6,500 ธุรกรรมต่อวินาที (ปัจจุบันทำความเร็วได้ 4,500 ธุรกรรมต่อวินาที)โดยที่ไม่กระทบต่อความสามารถในการปรับขนาด

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ด้วยสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของ Avalanche ตัวเครือข่าย Avalanche นั้นประกอบด้วยบล็อกเชนสามบล็อกได้แก่ X-Chain, C-Chain และ P-Chain แต่ละเชนก็มีจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน ซึ่งมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากแนวทางที่ Bitcoin และ Ethereum ใช้ กล่าวคือ มีการใช้โหนดทั้งสามโหนดในการตรวจสอบการทำธุรกรรมทั้งหมด บล็อกเชนของ Avalanche นั้นยังใช้กลไกฉันทามติที่แตกต่างกันตามกรณีการใช้งานด้วย

หลังจากเปิดตัว mainnet ในปี 2020 Avalanche ได้ทำงานเพื่อพัฒนาระบบนิเวศของตนเองทั้ง DApps และ DeFi ที่แตกต่างจากโครงการต่างๆ ที่ใช้พื้นฐาน Ethereum อย่างเช่น SushiSwap และโครงการ TrueUSD ก็ได้รวมเข้ากับ Avalanche ด้วย นอกจากนี้ แพลตฟอร์มกำลังทำงานอย่างต่อเนื่องในการปรับปรุงการทำงานร่วมกันระหว่างระบบนิเวศของตนเองกับ ระบบนิเวศของ Ethereum เช่น ผ่านการพัฒนา bridges (โปรโตคอลที่เป็นทางเชื่อมให้ตัวเหรียญสามารถทำงานได้ทั้งสองแพลตฟอร์ม)

ระบบนิเวศ Avalanche
ระบบนิเวศ Avalanche

จุดเด่นของ Avalanche (AVAX)

Avalanche พยายามที่จะแก้ปัญหาอุปสรรคของบล็อคเชน ซึ่งตัวบล็อคเชนนั้นไม่สามารถทำการกระจายอำนาจให้สำเร็จได้ในระดับที่เพียงพอ ผลที่ตามมาคือ ค่าธรรมเนียมก๊าซที่สูง ซึ่งมักจะเป็นกรณีบน Ethereum

เพื่อแก้ปัญหานี้ Avalanche ได้ออกแบบบล็อคเชนที่ทำงานร่วมกันได้ทั้งสามตัวขึ้นมา

  • Exchange Chain (X-Chain) : ถูกใช้เพื่อสร้างและแลกเปลี่ยนโทเคน AVAX ดั้งเดิมและสินทรัพย์อื่นๆ คล้ายกับมาตรฐาน ERC-20 บน Ethereum โทเคนเหล่านี้เป็นไปตามชุดของกฎมาตรฐาน ใช้กลไกฉันทามติของ Avalanche
  • The Contract Chain (C-Chain) : โฮสต์สัญญาอัจฉริยะและแอปพลิเคชันที่กระจายอำนาจ โดยมี Avalanche Virtual Machine ของตัวเองซึ่งคล้ายกับ Ethereum Virtual Machine ที่ทำให้นักพัฒนาสามารถแยก DApps ที่เข้ากันได้กับ EVM มันใช้กลไกฉันทามติของ Snowman
  • Platform Chain (P-Chain) : ใช้ประสานตัวตรวจสอบเครือข่าย ติดตามซับเน็ตที่ใช้งานอยู่ และเปิดใช้งานการสร้างซับเน็ตใหม่ ซับเน็ตคือ ชุดของเครื่องมือตรวจสอบ คล้ายกับกลุ่มตัวตรวจสอบ แต่ละซับเน็ตสามารถตรวจสอบบล็อคเชนได้หลายอัน แต่บล็อคเชนสามารถตรวจสอบได้เพียงซับเน็ตเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ยังใช้กลไกฉันทามติของ Snowman

การแบ่งส่วนงานการคำนวณนี้ช่วยให้มีปริมาณงานสูงขึ้นโดยไม่กระทบต่อการกระจายอำนาจ ตัวอย่างเช่น บล็อกเชนส่วนตัวบนเครือข่ายอาจต้องการให้ตัวตรวจสอบเครือข่ายย่อยของตนมีการกระจายอำนาจตามภูมิศาสตร์ที่เพียงพอหรือปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับบางประการ ตามโครงสร้างแบบแยกส่วนนี้ Avalanche ได้ปรับปรุงความสามารถในการทำงานร่วมกันกับบล็อคเชนอื่นๆ ที่ต้องการผสานรวมกับระบบนิเวศของ Avalanche นอกจากนี้ กลไกฉันทามติที่แตกต่างกันสองแบบได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงความต้องการของบล็อคเชนแต่ละแบบและใช้เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพต่อไป

Avalanche (AVAX) ข้อดี ข้อเสีย

ข้อดี

  1. Avalanche (AVAX) มีนวัตกรรมทางเทคโนโลยีของตัวเอง คือ บล็อกเชนที่ทำงานร่วมกันทั้งสามบล็อก ได้แก่ X-Chain , C-Chain และ P-Chain ที่ช่วยในเรื่องความเร็วในการประมวลผลธุรกรรม และรองรับการขยายขนาดด้วย
  2. สามารถรองรับการเจริญเติบของการกระจายอำนาจ ด้วยรูปแบบการทำงานร่วมกันทั้งสามบล็อกเชนที่ช่วยเพิ่มศักยภาพการทำงานแบบไร้ขีดจำกัด
  3. สามารถทำงานร่วมกับ Blockchain อื่นๆ ได้ ซึ่งมีเหรียญคริปโตจำนวนน้อยมากๆ ที่จะทำงานร่วมกับบุคคลที่สามได้
  4. การประมวลผลธุรกรรมทำได้เร็วมาก และมีค่าธรรมเนียมที่ถูกมากเช่นกัน สามารถประมวลผลด้วยความเร็วสูงถึง 4,500 ธุรกรรมต่อวินาที ซึ่งเร้วกว่าบิทคอยน์และอิธีเรียมในขณะนี้

ข้อเสีย

  1. อาจเกิดการโจรกรรมระหว่างการใช้งานได้ การใช้งานพร้อมกันทั้งสองเชนอาจทำให้เกิดอันตรายกับผู้ตรวจสอบธุรกรรมได้
  2. ราคาของ Avalanche (AVAX) แพงเกินไปสำหรับนักลงทุนรายย่อย
  3. มีคู่แข่งที่น่ากลัว อย่างเช่น Ethereum 2.0 (100,000 ธุรกรรมต่อวินาที หลังจากที่อัพเกรดแล้ว) , Polkadot (DOT), Cardano (ADA), Terra (LUNA) และ Solana (SOL) ที่ถึงแม้ว่าจะไม่มีเทคโนโลยี EVM แต่ก็สามารถประมวลผลธุรกรรมได้สูงถึง 50,000 ธุรกรรมต่อวินาที
  4. ต้องใช้เงินเยอะมาก ถึงจะสามารถเป็นผู้ตรวจสอบธุรกรรมของ Avalanche (AVAX) ได้

บทส่งท้าย

Avalanche (AVAX) นั้นมีความแข็งแกร่งในเรื่องของนวัตกรรมเทคโนโลยีบล็อกเชน ที่สามารถทำงานร่วมกับเชนอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี เป็นจุดเชื่มระหว่างกระดานเทรดแบบเดิมและ dApps แถมยังทำหน้าที่ในส่วนของ DeFi ได้ดีมากๆ และยังมีข้อดีในเรื่องของความเร็วในการประมวลผลธุรกรรม โดยใช้ค่าธรรมเนียมเพียงนิดเดียว และสามารถรองรับการขยายขนาดเพิ่มได้อีก ถึงอย่างไรก็ดี Avalanche ก็ยังมีคู่แข่งในตลาดอีกหลายเจ้าที่มีศักยภาพสูงเช่นกัน สนใจซื้อเหรียญ Avalanche (AVAX) ที่ Bitkub คลิกเลย

**Not Financial Advice** การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจ

ที่มาเนื้อหา

บทความเพิ่มเติม